เทคโนโลยี Interactive จัดอีเวนต์ยกระดับทุก Touchpoint ด้วยพลัง AI Experience

เมื่อผู้บริโภคถูกรุมเร้าด้วยสื่อจากทุกทิศทาง การจัดอีเวนต์แบบเดิมที่มีเพียงฉากถ่ายรูปสวย ๆ หรือบูทแสดงสินค้าที่ตั้งวางไว้นิ่ง ๆ อาจไม่เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจและสร้างความทรงจำได้อีกต่อไป
ซึ่งความท้าทายใหญ่ของเหล่าผู้จัดงานอย่าง Organizer, Agency และ Brand ในวันนี้คือ "จะทำอย่างไรให้ผู้ร่วมงานรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญและมีส่วนร่วมกับแบรนด์จริง ๆ
และคำตอบของโจทย์นี้ นั่นอาจเป็นการเริ่มนำ เทคโนโลยี เข้ามาเป็นตัวเชื่อมในการจัดงาน โดยเฉพาะการก้าวข้ามจาก Interactive แบบเดิม ๆ สู่ยุคของ "AI Experience" ที่จะช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับผู้ร่วมงาน รวมถึงผู้จัดงาน
บทความนี้ any i มีเครื่องมือและวิธียกระดับงานอีเวนต์ดี ๆ จะมาแนะนำกับ 5 เทคโนโลยี Interactive จัดอีเวนต์ยกระดับทุก Touchpoint ด้วยพลัง AI Experience มาฝากกัน
AI Experience คืออะไร?

คือ นิยามใหม่ของการสร้างสรรค์งานอีเวนต์ จากการนำ เทคโนโลยี Interactive หรือ เทคโนโลยีรูปแบบอื่น ๆ มาผสานเข้ากับความอัจฉริยะของ Artificial Intelligence (AI) เพื่อเปลี่ยนให้บูทการจัดแสดง หรือ งานกิจกรรม สามารถคิด วิเคราะห์ และโต้ตอบกับผู้ร่วมงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งในปัจจุบัน เทคโนโลยีนี้ไม่ได้มีบทบาทเพียงแค่การสร้างบรรยากาศหรือมอบความบันเทิงให้แขกตื่นตาตื่นใจเท่านั้น แต่ยังเปรียบเสมือน "ผู้ช่วยมือโปร" ที่เข้ามาช่วยลดขั้นตอนที่ซับซ้อนและย่นระยะเวลาการบริหารจัดการ (Operation) ให้ผู้จัดงานทำงานได้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น และมอบประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับทั้ง 2 ฝ่าย
ปัญหาการจัดงานอีเวนต์ ที่ผู้จัดงานมักเจอ เป็นอย่างไร?

เบื้องหลังฉากหน้าที่สวยงาม คนทำอีเวนต์รู้ดีว่ามีความท้าทายมากมายซ่อนอยู่ ยิ่งในยุคที่ความคาดหวังของผู้ร่วมงานสูงขึ้น ปัญหาเหล่านี้จึงกลายเป็นกำแพงใหญ่ที่ Organizer, Agency และ Brand ต้องก้าวข้ามไปให้ได้ ไม่ว่าจะเป็น
1. ความจำเจของงานอีเวนต์ที่ขาดแรงดึงดูด (Low Engagement)
ปัญหาสุดคลาสสิกคือ "คนเดินผ่านแต่ไม่แวะ" เนื่องจากบูทกิจกรรมรูปแบบเดิม ๆ ไม่สามารถหยุดสายตาหรือดึงดูดความสนใจได้อีกต่อไป
ซึ่งทำให้ผู้ร่วมงานเพียงแค่เดินชมแล้วผ่านไป (Walk-through) โดยไม่เกิดปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ใด ๆ จนทำให้แบรนด์เสียโอกาสในการสื่อสาร Key Message สำคัญ
2. ขั้นตอนหน้างานที่ยุ่งยากและล่าช้า (Operational Bottlenecks)
โดยเฉพาะจุดลงทะเบียน (Registration) ที่มักเกิดปัญหาคิวยาวเหยียด หรือความผิดพลาดของ Staff ในช่วงเวลา Prime Time ซึ่งการจัดการที่ล่าช้าแบบนี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้หน้างานดูวุ่นวาย แต่ยังสร้างประสบการณ์แย่ ๆ ให้กับแขกตั้งแต่ก้าวแรก
3. การเก็บข้อมูลที่ไม่เกิดประโยชน์ (Ineffective Data Collection)
การแจกใบปลิวหรือให้กรอกแบบสอบถามกระดาษเป็นวิธีที่ล้าสมัย นอกจากผู้ร่วมงานจะไม่อยากทำแล้ว ข้อมูลที่ได้มามักไม่ครบถ้วน อ่านไม่ออก หรือสูญหาย สิ่งนี้ก็อาจทำให้แบรนด์ หรือธุรกิจไม่สามารถนำ Data ไปวิเคราะห์ต่อยอดทางการตลาด (Retargeting) ได้จริง
4. สร้างความประทับใจยากขึ้น (Hard to Impress)
แน่นอนว่าผู้บริโภคยุคดิจิทัลต่างเห็นอะไรที่ "ว้าว" มาเยอะพอสมควรจากในสื่อโซเชียลมีเดีย ซึ่งนั่นอาจทำให้มาตรฐานความตื่นเต้นสูงขึ้น
ดังนั้น การจัดงานด้วยฉากถ่ายรูปธรรมดาหรือจอ LED ทั่วไป จึงยากที่จะสร้างความประทับใจให้พวกเขาหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปและแชร์ต่อ (Viral) ได้เหมือนเมื่อก่อน
ทำไม Organizer ยุคใหม่ควรให้ความสำคัญกับ AI Experience ในงานอีเวนต์?
เพราะในยุคที่เศรษฐกิจถูกขับเคลื่อนด้วยประสบการณ์ ลำพังแค่บูทสวยงาม หรือ การจัดกิจกรรมแบบ One-way Communication ก็อาจไม่เพียงพอที่จะมัดใจผู้บริโภคอีกต่อไป เพราะสิ่งที่จะเข้ามาเปลี่ยนเกมในวงการอีเวนต์ตอนนี้นั่นคือ "AI Experience" ที่สามารถสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจมี 3 สิ่งด้วยกันดังนี้
- Hyper-Personalization (ความรู้ใจระดับบุคคล) แบรนด์ควรเลิกใช้วิธีหว่านแห เพื่อให้ทุกคนได้เห็นสินค้า และ บริการเหมือนกันทั้งหมดจบหมดงบประมาณ เพราะด้วยพลังของ AI ในปัจจุบันนี้ ผู้จัดงานสามารถเสิร์ฟคอนเทนต์ สินค้า และ บริการให้ตรงจริตลูกค้าแต่ละคนได้แบบ Real-time เพียงแค่พวกเขาก้าวเข้ามาในบูท
- Wow Factor (สร้างกระแส Viral ได้ง่าย) ความแปลกใหม่ของ AI ที่สามารถวาดรูปได้ในพริบตา หรือเปลี่ยนโลก VR ได้ด้วยคำพูด คือแม่เหล็กชั้นดีที่สร้าง "Social Moment" และทำให้ผู้ร่วมงานอดใจไม่ไหวที่จะหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายคลิปและแชร์ลง Social Media ทันที ช่วยขยาย Brand Awareness ให้กว้างไกลโดยไม่ต้องเสียงบโฆษณาเพิ่ม
- Data Driven (เก็บ Insight ได้แม่นยำ) ภายใต้ความสนุกสนานเบื้องหน้า คือระบบเก็บข้อมูลอัจฉริยะเบื้องหลัง ซึ่งทุกการพูดคุยและทุกการเลือกของลูกค้า AI จะทำการบันทึกเป็น Data ที่มีค่า เพื่อช่วยให้แบรนด์เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า (Customer Insight) ได้ลึกซึ้งและแนบเนียนกว่าการแจกแบบสอบถามกระดาษแบบเดิม ๆ
5 เทคโนโลยี Interactive พลิกโฉม Touchpoint ในงานอีเวนต์ของคุณ
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนที่สุดว่า any i จะเข้ามาช่วยยกระดับงานของคุณได้อย่างไร ดังนั้น เราจะพาทุกท่านไปเจาะลึก 5 เทคโนโลยีที่อยากแนะนำให้กับผู้จัดงาน โดยไล่เรียงจากการทำความรู้จักกับนวัตกรรม ปัญหาที่มักพบเจอ และวิธีการนำไปใช้แก้ปัญหาในแต่ละโซนของงาน (Touchpoint) กัน
1. AI Fast Lane (AIDA) เปลี่ยนการกรอกฟอร์มเป็น "บทสนทนา" ที่รู้ใจ

AI Fast Lane (AIDA) เทคโนโลยี Interactive ที่ เหมาะกับจุดลงทะเบียน หรือ ทางเข้า ซึ่งจะเข้ามาช่วยให้การยืนกรอกเอกสารหน้างานของผู้ร่วมงานง่ายขึ้น เพราะนี่คือเทคโนโลยี AI Conversational Interface ที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำหน้าที่ "สัมภาษณ์" ผู้ร่วมงานแบบตัวต่อตัวในรูปแบบ จอ Interactive
ซึ่ง AIDA จะรับฟังคำตอบ ประมวลผลความต้องการ พร้อมให้คำแนะนำสรุปข้อมูลเชิงลึกของผู้ใช้งานออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น การเรียนรู้, สุขภาพทางการเงิน หรือความสนใจส่วนตัวเกี่ยวกับงานอีเวนต์
เหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานสัมมนา งานวางแผนการเงิน, ประกันภัย หรือ Corporate Training เพียงผู้ร่วมงานเดินเข้ามาพูดคุยกับ AI ระบบจะวิเคราะห์ข้อมูลและแนะนำโซนที่ควรเดินไปชม หรือคอร์สที่เหมาะสมให้ทันที ทำให้ผู้ร่วมงานรู้สึกว่างานนี้ "รู้จักตัวตนของเขา" จริง ๆ ตั้งแต่วินาทีแรก
เทคโนโลยี Interactive AI Fast Lane (AIDA) เหมาะกับงานแบบไหนบ้าง?
- งานที่มีข้อมูลต้องสอบถามเยอะ ทำให้คิวลงทะเบียนล่าช้า และต้องการคัดกรองความสนใจของผู้ร่วมงาน (Lead Qualification) ตั้งแต่หน้าประตู
- งานที่ต้องการความรวดเร็ว เพื่อไม่ให้ผู้ร่วมงานรู้สึกเบื่อหน่ายกับการตอบแบบสอบถามกระดาษหรือ Google Forms
รับชมวิดีโอเต็ม AI Fast Lane (AIDA): https://www.youtube.com/watch?v=eVbhlELdBXI
2. AI Draw to Image เสกลายเส้นธรรมดา ให้เป็นงานศิลป์ล้ำค่า

AI Draw to Image เทคโนโลยีที่ เหมาะกับงานสุดสร้างสรรค์ หรือพื้นที่กิจกรรม เพื่อยกระดับ Interactive Experience ด้วยพลังของ Generative AI
เพียงให้ผู้เล่นขีดเขียนลายเส้น วาดภาพร่าง หรือเขียนคำอวยพรลงบนแท็บเล็ต ระบบจะนำข้อมูลเหล่านั้นไปแปลงโฉมให้กลายเป็นภาพศิลปะความละเอียดสูงที่สวยงามตามธีมงานได้แบบ Real-time
ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะช่วยเปลี่ยนจาก "ลายมือธรรมดา" ให้กลายเป็นผลงานศิลปะที่มีชิ้นเดียวในโลก สามารถนำไปโชว์บนจอ Digital Guestbook หรือพิมพ์ออกมาเป็นของที่ระลึกที่ผู้รับอยากเก็บรักษาไว้จริง ๆ
เหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานแต่งงาน, Gala Dinner, Roadshow Event หรือ Brand Activation ที่ต้องการสร้างความประทับใจทางใจ (Emotional Value) ให้แขกรู้สึกสนุกและอยากแชร์ผลงานของตัวเองลงบน Social Media
เทคโนโลยี Interactive AI Draw to Image เหมาะกับงานแบบไหนบ้าง?
- งานที่ขาดสีสัน มีแต่จุดถ่ายรูปเดิม ๆ ไม่ดึงดูด
- งานที่ต้องการของที่ระลึกแจกเพื่อสร้างความทรงจำ
รับชมวิดีโอเต็ม AI Draw to Image: https://www.youtube.com/watch?v=CXmd3X0i8zo
3. AI Product Mapping สะท้อนตัวตนลูกค้า ลงบนสินค้าแบรนด์

AI Product Mapping อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เหมาะสำหรับจุดนำเสนอข้อมูลสินค้า เพื่อเปลี่ยนความคิดเห็นหรือไอเดียของผู้เข้าร่วมให้กลายเป็นงานศิลปะที่จับต้องได้ ด้วยเทคโนโลยีที่ผสมผสาน AI Design Generator เข้ากับ Projection Mapping เปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้ "ใส่ตัวตนลงไปในผลิตภัณฑ์" ผ่านการตอบคำถามจิตวิทยาหรือแชร์ไลฟ์สไตล์
จากนั้น AI จะนำข้อมูลเชิงนามธรรมเหล่านั้นมาตีความเป็นลวดลายกราฟิก (Visual Art) แล้วฉายภาพทับลงบนวัตถุจริงที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็น รองเท้า, กล่องสินค้า หรือเสื้อผ้า ทำให้สินค้าที่ดูธรรมดากลายเป็นสินค้าระดับ Masterpiece ที่ออกแบบมาเพื่อคนคนนั้นโดยเฉพาะ
เหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานเปิดตัวสินค้าใหม่, Sales Workshop หรือ Showroom ที่ต้องการให้ลูกค้ารู้สึกผูกพันกับแบรนด์ (Brand Engagement) และเห็นภาพว่าสินค้านี้เข้ากับตัวเขาได้มากแค่ไหน
เทคโนโลยี Interactive AI Product Mapping เหมาะกับงานแบบไหนบ้าง?
- เหมาะกับงานสินค้าวางโชว์นิ่ง ๆ ไม่ดึงดูดความสนใจของผู้เดินผ่าน
- แบรนด์ต้องการเน้นเรื่อง Customization หรือ Personalization
รับชมวิดีโอเต็ม AI Product Mapping: https://www.youtube.com/watch?v=lWsOg9Ib1io
4. AI Wall Mapping เนรมิตฉากหลัง เปลี่ยนโลกได้ตามจินตนาการ

AI Wall Mapping เทคโนโลยี Interactive ที่สามารถเปลี่ยนกำแพงว่างเปล่าให้กลายเป็น Canvas ขนาดใหญ่ที่มีชีวิต ด้วยเทคโนโลยี Projection Mapping เหมาะสำหรับจุดหรือโซนที่ต้องการสร้างประสบการณ์ร่วม เช่น ฉากหลังเวทีหลัก (Main Stage), อุโมงค์ทางเข้างาน (Immersive Tunnel) หรือ โซนรับรองแขก (Networking Lounge)
โดยจะทำงานร่วมกันกับระบบ AI เพื่อเปลี่ยนฉากหลัง ธีมสี และบรรยากาศโดยรวมของงานได้ทันทีตามความต้องการของผู้ร่วมงาน หรือตามหัวข้อที่กำลังนำเสนอ (Context-Aware)
ไม่ว่าจะเป็นการจำลองเมืองแห่งอนาคต, ป่าธรรมชาติเพื่อความผ่อนคลาย หรือฉากแฟนตาซีสุดล้ำ ระบบจะช่วยสร้างความรู้สึกเสมือนจริงราวกับผู้ร่วมงานได้หลุดเข้าไปในโลกใบใหม่ที่พวกเขามีส่วนร่วมในการกำหนดได้เอง
เหมาะอย่างยิ่งสำหรับงาน Exhibition, เวที Keynote หรือ Photo Zone ที่ต้องการยกระดับความพรีเมียม และสร้างบรรยากาศที่ "รู้สึก" ไปกับอารมณ์ของผู้คนในงานจริงๆ
เทคโนโลยี Interactive AI Wall Mapping เหมาะกับงานแบบไหนบ้าง?
- เหมาะกับงานฉากหลังเวทีหรือจุดถ่ายภาพดูจำเจ ขาดความน่าสนใจ
- งานที่ต้องการให้ผู้ร่วมงานรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดทิศทางบรรยากาศงาน
รับชมวิดีโอเต็ม AI Wall Mapping: https://www.youtube.com/watch?v=bM9qjGzYDEk
5. AI VR Experience โลกเสมือนที่ตอบโต้และเข้าใจคุณ

AI VR Experience เทคโนโลยีเสมือนจริงที่เหมาะสำหรับงานที่ต้องการพื้นที่จำลองสถานการณ์แต่มีข้อจำกัดเรื่องสถานที่จริง เช่น จุดทดลองสินค้า/บริการ จุดเรียนรู้และฝึกอบรม ฉีกกฎ Virtual Reality แบบเดิม ๆ ด้วยการผสาน AI Voice Command เข้าไปในโลกเสมือน
ซึ่งผู้เข้าร่วมไม่ใช่แค่สวมแว่นตาเพื่อ "ดู" เท่านั้น แต่ยังสามารถ "พูดคุยและสั่งการ" ได้จริง เช่น บอกว่า "ฉันชอบห้องสไตล์มินิมอล" แล้ว AI จะจำลองภาพห้องแบบ 3 มิติที่เหมาะกับความชอบนั้นขึ้นมาทันที
เทคโนโลยีนี้ช่วยให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสประสบการณ์ที่แม่นยำและตรงใจที่สุด โดยไม่ต้องเสียเวลากดเมนูที่ยุ่งยาก ช่วยให้การนำเสนอสิ่งที่จับต้องยากกลายเป็นเรื่องง่ายและเห็นภาพชัดเจน
เหมาะอย่างยิ่งสำหรับงาน สัมมนาอสังหาริมทรัพย์, การออกแบบตกแต่ง หรือ Training ที่ต้องการให้ลูกค้าเห็นภาพจริง (Visualization) เพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อ หรือฝึกฝนทักษะในสถานการณ์จำลอง
เทคโนโลยี Interactive AI VR Experience เหมาะกับงานแบบไหนบ้าง?
- เหมาะกับงานที่มีสินค้ามีขนาดใหญ่หรือราคาสูง ไม่สามารถนำมาโชว์หน้างานได้ครบทุกรุ่น
- งานที่ลูกค้าจินตนาการภาพไม่ออกเมื่อดูแค็ตตาล็อก 2 มิติ
รับชมวิดีโอเต็ม VR Experience: https://www.youtube.com/watch?v=NSX3a9tzdv4
คำถามพบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ เทคโนโลยี Interactive AI Experience
Q: เทคโนโลยี Interactive จาก any i เหล่านี้เหมาะกับงานสเกลไหน?
A: สามารถปรับใช้ได้ทุกสเกล ตั้งแต่งาน Exclusive Party หลักสิบคนที่ต้องการความพรีเมียม ไปจนถึง Mega Event หลักพันคนที่ต้องการระบบจัดการคิวและกิจกรรมที่รวดเร็ว
Q: ผู้จัดงานสามารถใส่ Branding ลงไปใน AI ได้หรือไม่?
A: ได้แน่นอน 100% จุดเด่นของบริการจาก any i คือการปรับจูน (Customize) ตัว AI ทั้งหน้าตา ธีมสี โลโก้ และข้อความตอบกลับ ให้ตรงกับ Corporate Identity (CI) ได้ตามความต้องการ
Q: ผู้จัดงานต้องทำยังไง หากสนใจในเทคโนโลยี Interactive AI Experience
A: โดยปกติแนะนำให้เตรียมการล่วงหน้าอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ เพื่อกระบวนการออกแบบ Setup และ Testing ซึ่งจะช่วยให้ระบบเสถียรที่สุดก่อนวันงานจริง และสร้างความประทับใจที่ดีให้กับผู้ร่วมงาน
สรุป
โลกของการ จัดอีเวนต์ กำลังเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว การสร้างความประทับใจไม่ได้วัดกันที่ขนาดของเวทีอีกต่อไป แต่วัดกันที่ "ประสบการณ์" ที่แบรนด์มอบให้กับผู้บริโภค
การนำ เทคโนโลยี Interactive ด้วยพลังของ AI Experience เข้ามาใช้ในแต่ละ Touchpoint คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ Organizer และ Brand สามารถสร้าง Engagement ที่เหนือกว่า เก็บข้อมูลลูกค้าได้แม่นยำกว่า และเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมขาจรให้กลายเป็นลูกค้าตัวจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มา
AI in Event Marketing: Creating Personalized Experiences จาก Fluer
Trend of the Week: AI-Driven Experiences จาก EventMarketer
สำหรับนักจัดอีเวนต์ Organizer ท่านไหนที่ต้องการนำเครื่องมือ 5 เทคโนโลยี Interactive ไปจัดตั้งสำหรับการจัดอีเวนต์ หรืองานกิจกรรมต่าง ๆ สามารถติดต่อขอรับคำปรึกษาจาก any i ผ่านช่องทางแชตบนหน้าเว็บไซต์
ช่องทางการติดต่ออื่น ๆ
Email: contact@anyimedia.com
LINE Official: @anyi
เบอร์โทรศัพท์: 061-023-7370
ทาง any i ยินดีให้บริการทุกท่านเสมอ




